ข่าวสารการเกษตร
24 มิถุนายน 2561
ทำไม "มันสำปะหลัง" ถึงได้รับสมยานามว่า "พืชมหัศจรรย์" ?
04 เมษายน 2561
ชาวสวนจันทบุรีขายทุเรียนทางออนไลน์ ช่วยลดต้นทุนส่งออก
03 กุมภาพันธ์ 2561
มะขามเปรี้ยวยักษ์…ม.เกษตรฯแนะนำ 4 พันธุ์ “อีก 5 ปี รวมร่างเป็นยักษ์เดียว”
29 พฤศจิกายน 2560
โครงการหลวงปังค่า หนุนเกษตรกรพะเยา ปลูกมะเขือเทศสร้างรายได้
02 ตุลาคม 2560
ตู้เพาะเห็ดอัตโนมัติ ช่วย 'นางฟ้า' ให้ดอกดก
20 กันยายน 2560
นศ.เปิดฟาร์มปูนาขายผ่านเฟซบุ๊กสร้างรายได้เสริมระหว่างเรียน
02 สิงหาคม 2560
หมูป่า..รถไถมีชีวิต ลูกทัพฟ้าพอเพียง
03 สิงหาคม 2560
ชมสวน "กระท้อนยักษ์" สร้างรายได้ปีละแสน
ชาวจังหวัดพิษณุโลกจำนวนมากเข้ามาชมสวนและซื้อกระท้อนยักษ์
15 พฤษภาคม 2560
มะนาว+มะละกอ+มะเขือยาว ใช้พื้นที่ให้เกิด ประโยชน์สูงสุด
29 พฤศจิกายน 2559
สวนมะนาวยางรถยนต์ ทำพอเพียง 1 ไร่
ปีละ 2 แสน
นศ.เปิดฟาร์มปูนาขายผ่านเฟซบุ๊ก สร้างรายได้เสริมระหว่างเรียน
นักศึกษาปริญญาตรี เปิดฟาร์มปูนา ขายปูนาผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ให้กับร้านอาหารสร้างรายได้เป็นทุนการศึกษา
ระหว่างเรียน
น.ส.สุธิดา สุขวิเศษ อายุ 21 ปี ชาวบ้านหมู่ที่ 13 ต.คุ้งพะยอม อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรีเพาะเลี้ยงปูนาเพื่อจำหน่ายให้แก่ ผู้ที่สนใจนำไปเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์ต่อ กำลังสร้างรายได้ให้เป็นอย่างดีและเป็นทุนการศึกษาสำหรับเธอด้วย
สำหรับวิธีการเลี้ยงต้องออกไปจับปูนาที่มีขนาดใหญ่เพื่อนำมาเป็นพ่อแม่พันธุ์บริเวณทุ่งนาในละแวกบ้านโดยดูจากความ
สมบูรณ์ของลำตัวก้ามและขาทั้ง 8 ต้องมีความแข็งแรง จากนั้นจึงนำไปเพาะเลี้ยงในสถานที่ที่จัดเตรียมไว้โดยจะใช้รอง
ปูนซีเมนต์ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 80 ซ.ม. ใส่น้ำลงไปเล็กน้อยและใส่อิฐบล็อกแบบมีรู เพื่อให้ปูใช้เป็นที่หลบซ่อนตัว รวมทั้งการนำดินท้องนาที่มีต้นหญ้าหรือต้นข้าวทำเป็นเนินสำหรับให้ปูขึ้นมาพักและกัดกิน ซึ่งรอง 1 ใบ จะใส่พ่อแม่พันธุ์ ปูนาจำนวน 3 - 5 คู่
หลังการผสมพันธุ์ ปูเพศเมียจะใช้เวลานานประมาณ 3 - 5 สัปดาห์ ไข่ก็จะเริ่มฟัก ในช่วงนี้ลูกปูนาที่ฟักออกจากไข่จะมีขนาดเล็กมากและยังต้องอาศัยอยู่ที่แผ่นท้องของแม่ปู ก่อนแม่ปูจะใช้ขาเขี่ยให้ออกไปอาศัยในแหล่งน้ำจนลูกปูมีอายุได้ประมาณ 30 วัน จึงแยกออกลูกปูออกเพื่อทำการอนุบาล เนื่องจากหากปล่อยไว้รวมกัน พ่อแม่ปูจะกินลูกตัวมันเอง
น.ส.สุธิดา เล่าว่า ช่องทางการจำหน่ายที่สำคัญคือ เปิดหน้าร้านผ่านเฟซบุ๊ก ชื่อ "ฟาริดา ฟาร์มปูนา" ส่วนใหญ่ ลูกค้าจะนำ ไปประกอบอาหาร ร้านอาหารอีสาน เพื่อนำไปทำส้มตำ ปูดองและอีกกลุ่มคือผู้ที่สนใจนำไปเพาะเลี้ยงต่อเป็น อาชีพสนน ราคาพ่อแม่พันธุ์ปูนา อยู่ที่ราคาตัวละ 50 บาท ส่วนลูกปูอายุ 2 เดือนขึ้นไป ราคาตัวละ 30
ที่มา : http://news.thaipbs.or.th/content/266235
ข่าวไทยรัฐออนไลน์ 20 กันยายน 2560
ชมสวน "กระท้อนยักษ์" สร้างรายได้ปีละแสน
ชาวจังหวัดพิษณุโลกจำนวนมากเข้ามาชมสวนและซื้อกระท้อนยักษ์ น้ำหนักลูกละครึ่งกิโลกรัม สร้างรายได้ปีละ
100,000 บาท
วันนี้ (3 ส.ค.2560) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่สวนกระท้อนของนางสวรรณญา สุภา บ้านคลองเป็ด หมู่ที่ 4 ต.วังพิกุล อ.วังทอง จ.พิษณุโลก มีลูกค้าและนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวชมสวนกระท้อนปลอดสารเคมีบนพื้นที่ 6 ไร่ อย่างต่อเนื่อง หลังจากทราบ ข่าวจากเฟซบุ๊กว่า มีกระท้อนยักษ์ หรือกระท้อนลูกใหญ่ น้ำหนักลูกละครึ่งกิโลกรัมให้เลือกซื้อไปรับประทาน
นางสวรรณญา บอกว่า แม่ของตัวเองปลูกต้นกระท้อน 4 สายพันธุ์ ประกอบด้วยพันธ์กำมะหยี่ ปุยฝ้าย นิ่มนวล และอีร่า 57 ต้น พร้อมขุดร่องสวนในการให้น้ำ ขณะนี้ต้นกระท้อนอายุ 15 ปี มีลำต้นขนาดใหญ่และอยู่ระหว่างให้ผลผลิต สามารถเก็บผลผลิตส่งขายราคากิโลกรัมละ 30-50 บาท วันละ 50-100 กิโลกรัม โดยขนาดผลใหญ่สุดจะมีน้ำหนัก 600-700 กรัม รับประทานเพียงลูกเดียวก็อิ่มแล้ว จึงเป็นที่ถูกใจของลูกค้า เนื่องจากรสชาติหวานและปลอดสารเคมี สร้างรายได้ให้ครอบครัวปีละ 100,000 บาท
ที่มา : http://news.thaipbs.or.th/content/264904
ข่าวไทยรัฐออนไลน์ 3 สิงหาคม 2560
ชาวสวนจันทบุรีขายทุเรียนทางออนไลน์ ช่วยลดต้นทุนส่งออก
ชาวสวนทุเรียน จ.จันทบุรี เปิดรับรายการสั่งซื้อทุเรียนผ่านทางออนไลน์และจัดส่งทุเรียนทางไปรษณีย์ให้ลูกค้า ซึ่งไม่จำเป็นต้องพึ่งตลาดต่างประเทศและยังช่วยลดต้นทุนการส่งออก
นายพจน์ นพพันธ์ เจ้าของสวนทุเรียนเนื้อที่ 400 ไร่ใน จ.จันทบุรีที่แม้จะเป็นเจ้าของสวนทุเรียนรายใหญ่และมีตลาดรองรับ เพียงพอ แต่เขายังเลือกใช้ช่องทางออนไลน์ในการขายทุเรียน โดยเปิดรับรายการสั่งซื้อล่วงหน้าหรือพรีออเดอร์ทางออนไลน์ จากนั้นจะคำนวนระยะทางและพื้นที่ไปรษณีย์ในการจัดส่งว่าต้องใช้เวลากี่วัน เพื่อเลือกทุเรียนที่เหมาะสมพร้อม รับประทานเมื่อถึงมือผู้บริโภค โดยจะนำทุเรียนบรรจุใส่บรรจุภัณฑ์ที่แข็งแรงระบุที่อยู่และเบอร์โทรของเจ้าของสวนผลไม้ ที่เป็นการการันตี
เจ้าของสวนทุเรียนยืนยันว่า จะไม่ส่งทุเรียนอ่อนให้กับลูกค้าอย่างเด็ดขาดและขั้นตอนการขนส่งต้องระวังไม่ให้หนามเกี่ยวกันจนผลทุเรียนเสียหาย ทำให้เจ้าของสวนไม่จำเป็นต้องพึ่งตลาดต่างประเทศและไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง อีกทั้งยังมองว่าน่าจะเป็นช่องทางทำการตลาดแบบใหม่และช่วยลดต้นทุนการส่งออก
ที่มา : http://news.thaipbs.or.th/content/271437
ข่าวไทยรัฐออนไลน์ 4 เมษายน 2561
หมูป่า..รถไถมีชีวิต ลูกทัพฟ้าพอเพียง
ผ่านไปแถวกองบิน 21 ต.ไร่น้อย อ.เมือง จ.อุบลราชธานี เห็นกองทัพหมูป่ากว่า 200 ตัว เดินวิ่งเล่นไปมากลางเรือกสวนไร่นา อย่าเพิ่งแปลกใจ ...นี่เป็นการนำแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เกษตรผสมผสานของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาต่อยอดประยุกต์ใช้ได้อย่างลงตัว
และหมูป่าที่นี่ไม่ได้มีประโยชน์แค่เลี้ยงไว้เป็นอาหาร หรือเป็นพ่อแม่พันธุ์...ยังเป็นเสมือนรถไถมีชีวิต พรวนดิน ใส่ปุ๋ยได้แบบไร้ต้นทุน
“เราทำไร่นาสวนผสมมานานหลายปี เมื่อ 2 ปีที่แล้วเริ่มสนใจเรื่องหมูป่า จึงเริ่มศึกษาหาข้อมูล พบว่าหมูป่าไม่ต้องดูแลอะไรมาก กินง่าย อยู่ง่าย ตายยาก ไม่ต้องใช้วัคซีนเหมือนหมูบ้าน ที่สำคัญเหมาะสมกับพื้นที่บางส่วนที่ยังเป็นป่าของกองบิน จึงเริ่มหาพันธุ์หมูป่าจากที่ต่างๆมาผสมข้ามสายพันธุ์จนได้หมูป่าลูกผสมคุณภาพดี”
เรืออากาศโท ประวิทย์ เชื้อชาญ ผู้บังคับกองร้อยทหารอากาศโยธิน กองพันทหารอากาศโยธิน กองบิน 21 เล่าถึงที่มาของฝูงหมูป่า...จากเดิมให้ทั้งทหารเกณฑ์ และทหารประจำการทำเกษตรผสมผสานในพื้นที่ 20 ไร่ของกองบินอยู่แล้ว ทำนา ปลูกพืชผักสวนครัว ไม้ผล เลี้ยงเป็ด ไก่ ปลา เพื่อให้มีความรู้วิชาชีพติดตัวยามปลดประจำการ ทางหนึ่งเป็นกิจกรรมยามว่างจากการฝึก อีกทางเป็นรายได้เสริมให้กับกองบินและตัวทหารเอง
เมื่อเริ่มหาซื้อพ่อแม่พันธุ์หมูป่า มีสารพัดสายพันธุ์ ตั้งแต่หมูป่าหน้ายาว หมูป่าหน้าสั้น เหมยซาน ดูร็อก หมูขุน หมูดำภูพาน ฯลฯ มาผสมข้ามสายพันธุ์จนได้หมูป่าลูกผสมสายพันธุ์นิ่ง เนื้อเยอะ โครงสร้างใหญ่ ทนทานต่อโรค และเชื่อง...ทดลองเอามูลมาทำปุ๋ย ต้นไม้ให้ดอกผลดี เลยคิดต่อยอดให้หมูป่าพรวนดิน ให้มูลเป็นปุ๋ย
“ปกติเราเลี้ยงหมูป่าแบบปล่อย เมื่อเห็นหมูป่าชอบขุดคุ้ยดิน เลยเกิดไอเดียทดลองกั้นคอกในพื้นที่ที่ต้องการปลูกพืช ให้หมูป่าขุดคุ้ยดินพร้อมกับให้มูลเป็นปุ๋ย พบว่าได้ผลดี ไม่ต้องเสียเงิน
ค่าปุ๋ย ค่าไถพรวน ในที่สุดกลายเป็นสูตรสำเร็จ ต้องการทำนา ปลูกพืชตรงไหน กั้นคอกแบ่งโซนตรงนั้น ปล่อยหมูป่าคละเพศ 50 ตัว นาน 3 เดือน จากนั้นเอาพืชมาลงปลูกได้เลย แล้วย้ายหมูป่าให้ไปไถพรวนแปลงอื่นไปเรื่อยๆเท่านั้นเอง”
ส่วนวิธีการเลี้ยงหมูป่าให้เชื่อง เรืออากาศโท ประวิทย์ แนะให้เลี้ยงแบบปล่อย หมั่นให้อาหารให้หมูป่าเห็นหน้า จำกลิ่นได้ หากหมูป่าไม่เจอเจ้าของเกิน 3 วัน จะจำไม่ได้ ฉะนั้นต้องสร้างความคุ้นเคยใหม่ก่อน...ที่สำคัญไม่ควรเข้าใกล้ตอนหมูป่าหลับ เพราะสัญชาตญาณป่าจะทำให้ตกใจ กัดหรือพุ่งชนได้
การทำเกษตรผสมผสานตามแนวทางในหลวงรัชกาลที่ 9 ต่อยอดสู่หมูป่า นับเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจ...ต้นทุนค่าอาหารแทบไม่มีเศษอาหาร หญ้าขน หญ้าเนเปียร์ ผักตบ ก็เลี้ยงได้แล้ว
จะมีเสียเงินบ้าง กากมันหมักยีสต์...เลี้ยงหมูป่า 200 ตัว ค่าใช้จ่ายวันละไม่ถึงร้อย เป็นอาหารเสริมที่หมูป่าชอบมาก เพราะช่วยให้หลับสบาย สนใจสอบถามได้ที่ 08-6719-0626.
ที่มา : http://news.thaipbs.or.th/content/271437
ข่าวไทยรัฐออนไลน์ 2 สิงหาคม 2560
สวนมะนาวยางรถยนต์ ทำพอเพียง 1 ไร่ ปีละ 2 แสน
“เดิมคนที่นี่ปลูกมันฯ ปลูกอ้อยเป็นหลัก เป็นหนี้เป็นสินมาตลอด ยิ่งเจอภัยแล้ง ผลผลิตก็ยิ่งไม่ดี ชาวบ้านมีรายได้ประมาณไร่ละ 6,000-8,000 บาท แทบจะไม่พอยาไส้ หักต้นทุนแล้วปีหนึ่งเหลือแค่ไร่ละ 3,000-4,000 บาทเท่านั้นเอง เราเลยสมัครเป็นสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร เพื่อจะเข้าโครงการฟื้นฟูอาชีพ มองหาลู่ทางปลูกพืชชนิดอื่นที่รายได้น่าจะดีกว่า ปี 2556 ไปดูงานปลูกแคนตาลูปและเมล่อนที่ จ.อำนาจเจริญ แล้วนำมาประยุกต์ปลูกในที่ตัวเอง”
อุเทน สีมารักษ์ สมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร อ.กุดรัง จ.มหาสารคาม เล่าถึงที่มาของการปลูกแคนตาลูปและเมล่อนแทนมันสำปะหลังและอ้อย...หลังมีการรวมกลุ่มร่างโครงการขอเงินสนับสนุนจากกองทุนฟื้นฟูฯ 30,000 บาท และได้ไปอบรมเรียนรู้วิธีการปลูก กลับเริ่มลงแคนตาลูป 700 ต้น บนพื้นที่ 3 ไร่
ครอปแรกใช้เงินลงทุนไปทั้งหมด 12,000 บาท เป็นค่าเมล็ดพันธุ์ ค่าอุปกรณ์ระบบน้ำหยด ค่าไม้ไผ่ ทำค้างให้แคนตาลูปเกาะและอุปกรณ์อื่นๆ ...เพียงแค่ 3 เดือน ได้ผลผลิตให้พ่อค้ามาซื้อหน้าสวน ได้ราคา กก.ละ 20 บาท ขายได้ 20,000 กว่าบาท เนื่องจากยังไม่มีความชำนาญพอ
ครอปต่อมาผลผลิตเพิ่มขึ้นเป็นไร่ละ 3 ตัน เลยแบ่งพื้นที่ 3 งานมาทดลองปลูกเมล่อน เนื่องจากวิธีการปลูก การดูแลทุกอย่างไม่ต่างจากแคนตาลูป แต่ราคาดีกว่า กก.ละ 100 บาท แถมปลูกได้หนาแน่นกว่า งานละ 1,000 ต้น ...ผ่านไปราว 1 เดือน เริ่มเห็นดอก ปล่อยให้แมลงผสมเกสรตามธรรมชาติ ปลูกไปประมาณ 45 วัน จะเริ่มเห็นลูก
คัดลูกที่ได้รูปทรงไม่บิดเบี้ยวเอาไว้เพียงลูกเดียว ที่เหลือเด็ดทิ้งให้หมด ตัดกิ่งที่แตกแขนงทิ้งไป เพื่อธาตุอาหารจะได้ไปเลี้ยงบำรุงลูกอย่างเต็มที่ จะได้ลูกที่สมบูรณ์มีคุณภาพและได้ราคา
เมื่อเก็บผลผลิตแล้ว รื้อทุกอย่างในแปลงออกทำความสะอาดทั้งหมด เพื่อป้องกันเชื้อรา ไถกลบ โรยโดโลไมท์ พักดิน 1-2 เดือน ให้ดินสะสมธาตุอาหารใหม่ ช่วงนี้ก็เตรียมกล้าเพื่อนำไปปลูกในแปลงอื่นต่อไปผลผลิตจะได้มีออกมาป้อนตลาดสม่ำเสมอไม่ขาดตอน
ผลการปลูกทดลองเมล่อนครั้งแรก 3 งาน 3,000 ต้น ไปได้ดี อุเทน และเพื่อนสมาชิกกองทุนฟื้นฟูฯ 20 ราย จึงขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มมาเป็น 3 ไร่...จากขายให้พ่อค้ามารับซื้อหน้าสวน เปลี่ยนมาเป็นทำการตลาดเอง ผ่านช่องทางออกงานขายกับหน่วยงานภาครัฐ สร้างจุดขายมีการทำลวดลายหรือสลักอักษรบนเปลือกเมล่อนอายุ 50 วัน ช่วยเพิ่มมูลค่าจากลูกละ 100 บาท เป็น 150 บาทได้อีก
ปลูกเมล่อน 3 ไร่ ถ้าขายลูกละ 100 บาท แค่ครอปเดียว 4 เดือน ได้เงิน 1 ล้านบาท หักต้นทุนค่าเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย ยา ระบบน้ำ จะเหลือกำไร 860,000 บาท หรือไร่ละ 286,000 บาท
ปีหนึ่งปลูกได้ 3 ครอป กำไรไร่ละ 8 แสนกว่าบาท ไม่น่าเชื่อเงินแค่ 3 หมื่นของกองทุนฟื้นฟูฯ จะพลิกชีวิตเกษตรกรได้ขนาดนี้... ดีกว่าปลูกอ้อย ปลูกมันฯ 200 เท่า.
ที่มา : https://www.thairath.co.th/content/683948
ข่าวไทยรัฐออนไลน์ 29 พฤศจิกายน 2559
ตู้เพาะเห็ดอัตโนมัติ ช่วย 'นางฟ้า' ให้ดอกดก
เพาะเห็ดนางฟ้า ใครว่าทำได้ง่าย ต้องลงมือทำเองถึงจะรู้ ต่อให้ใช้ก้อนถุงเชื้อเห็ดดีแค่ไหนมีหลายๆครั้งเห็ดไม่ยอมออกดอก หรือถ้ามีก็เก็บเห็ดได้ไม่มาก ไม่กี่รอบ...การเพาะเห็ดให้ได้ผลผลิตดี ปัจจัยสำคัญไม่ใช่อยู่ที่ก้อนเห็ดอย่างเดียว น้ำความชื้น อุณหภูมิ ต้องเหมาะสม
ด้วยเหตุนี้ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย จ.สงขลา จึงคิดประดิษฐ์ตู้เพาะเห็ดและชุดไมโครคอนโทรลเลอร์ ควบคุมอุณหภูมิ
“ช่วงราคายางตกเลยหาทางให้ชาวบ้านมีรายได้เสริม จึงมองไปที่การเพาะเห็ดนางฟ้าซึ่งตลาดมีความต้องการมาก และใช้เวลาไม่นานชาวบ้านสามารถเก็บไปขายได้ คิดค้นปรับระบบมาเรื่อย ตั้งแต่ใช้โอ่ง กระทั่งมาจบที่ตู้เพาะเห็ดทำจากอะลูมิเนียม”
อ.พิทักษ์ สถิตวรรธนะ เผยว่า การเพาะเห็ดนางฟ้าให้ผลผลิตมาก ปัจจัยสำคัญคืออุณหภูมิในก้อนถุงเห็ดกับการวางเรียง รองลงมาคือการสเปรย์น้ำให้เหมาะสม ไม่ปล่อยให้ชื้นหรือแห้งจนเกินไป หากให้ชาวบ้านใช้แค่ตัววัดอุณหภูมิ ต้องเดินบ่อยๆ นอกจากเสียเวลา บางครั้งยังให้น้ำช้าหรือให้มากเกินไป
“จึงนำชุดไมโครคอนโทรลเลอร์ควบคุมอุณหภูมิที่ผลิตในไทย มาใช้วัดอุณหภูมิการเพาะเห็ดนางฟ้านางรม เห็ดนางนวล เห็ดเป๋าฮื้อ เห็ดภูฐาน และเห็ดหลินจือ แล้วเขียนโปรแกรมขึ้นมาตรวจวัดอุณหภูมิ และให้น้ำแบบอัตโนมัติ”
อ.พิทักษ์ เล่าว่า การออกแบบครั้งแรกใช้ตุ่มเพาะเห็ด แต่เนื่องจากมีปัญหาต้องคอยเปิดให้อากาศระบายได้ เลยต้องออกแบบใหม่...เป็นตู้เห็ดทำจากอะลูมิเนียม ไม่เกิดสนิม ผนังทุกด้านใช้แผ่นฉนวนกันความร้อน ด้านบนมีช่องระบายอากาศทั้ง 4 ด้าน มีขนาดกว้าง 80 ซม. ยาว 80 ซม. สูง 100 ซม. เหมาะกับผู้ที่มีพื้นที่อาศัยจำกัด ต้องการเพาะเห็ดไว้กินในครัวเรือน
ส่วนวิธีการใช้งาน หลังเรียงถุงเห็ดเป็นรูปตัว U จำนวน 130-140 ถุงเข้าตู้เรียบร้อยแล้ว ให้นำสายวัดไมโครคอนโทรลเลอร์วางใต้ถุงเห็ดชั้นบนสุดใช้เพียงตัวเดียว เพื่อวัดอุณหภูมิในกองเห็ดว่ามีความร้อนแค่ไหน หากอุณหภูมิเกิน 32ํ C ระบบสั่งงานให้ปั๊มดึงน้ำจากถังพักสเปรย์น้ำในตู้ทันที โดยไม่ต้องมีคนมากดปุ่มสั่งงานแต่อย่างใด
และเมื่อสเปรย์น้ำได้อุณหภูมิที่เหมาะสม ระบบจะหยุดให้เอง แต่จะมีน้ำหลงเหลือค้างอยู่ในระบบท่อ บวกกับละอองเห็ดในตู้ จะทำให้เกิดกลิ่นอับ อ.พิทักษ์ แนะวิธีแก้ปัญหา หลังเก็บเห็ดครั้งแรกหมดให้ใส่น้ำอีเอ็ม และสารสกัดสมุนไพรจากธรรมชาติลงในบ่อพักน้ำ นอกจากจะแก้ปัญหาเรื่องกลิ่นได้แล้ว ยังช่วยแก้ปัญหามด แมลง เข้าไปแทะกัดถุงก้อนเห็ดได้ด้วย
สนใจตู้เพาะเห็ดอัตโนมัติ คว้ารางวัลชนะเลิศอันดับ 1 สิ่งประดิษฐ์คิดค้นทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประจำปี 2560 จากกระทรวงวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ติดต่อได้ที่ 08-9738-6158.
ที่มา : https://www.thairath.co.th/content/1086372
ข่าวไทยรัฐออนไลน์ 2 ตุลาคม 2560
โครงการหลวงปังค่า หนุนเกษตรกรพะเยา ปลูกมะเขือเทศสร้างรายได้
โครงการหลวงปังค่า ส่งเสริมเกษตรกรในพื้นที่หมู่ที่ 7 อ.ปง จ.พะเยา ให้ปลูกมะเขือเทศ พันธุ์โทมัส ทำให้มีอาชีพสร้างรายได้ และจำหน่ายได้โดยไม่มีปัญหาเรื่องราคา ได้ผลผลิต 2-3 ตันขายได้ราวๆ 75,000 บาทต่อรอบ...
เมื่อวันที่ 29 พ.ย.60 ผู้สื่อข่าวได้ติดตาม โครงการหลวงปังค่า ตำบลผาช้างน้อย อำเภอปง จังหวัดพะเยา ส่งเสริมให้เกษตรกรในพื้นที่ปลูกมะเขือเทศ พันธุ์โทมัส สร้างรายได้ ซึ่งสามารถทำให้เกษตรมีอาชีพและมีรายได้เป็นอย่างดี เนื่องจากสามารถจำหน่ายได้แบบที่ไม่มีปัญหาเรื่องราคา โดยแต่ละโรงเรือนสามารถจำหน่ายได้ตลอดฤดูการผลิตถึง 75,000 บาท
เกษตรกรในพื้นที่หมู่ที่ 7 ตำบลผาช้างน้อย อำเภอปง จังหวัดพะเยา ต่างเข้าดูแลแปลงและเก็บผลผลิตมะเขือเทศของพวกเขา ซึ่งปลูกไว้ในอาคารกลางมุ้ง หลังโครงการหลวงปังค่าส่งเสริมให้เกษตรกรมีการปลูกกันเพื่อจำหน่าย โดยมะเขือเทศดังกล่าวจะมีลักษณะขนาดที่ใหญ่ สีสันที่สวยงาม ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดมาก
นายรุ่งฤทธิ์ เตรียมพยุง เกษตรกรในพื้นที่หมู่ที่ 7 ตำบลผาช้างน้อย อำเภอปง จังหวัดพะเยา กล่าวว่า มะเขือเทศพันธุ์ดังกล่าวเป็นพันธุ์โทมัส ที่ให้ผลผลิตสามารถเก็บได้ประมาณ 2 เดือนครึ่ง ไปจนถึงระยะเวลา 6 เดือน ซึ่งในแต่ละรอบของการปลูก จะให้ผลผลิต 2-3 ตัน ต่อรอบการผลิต และก็จะขายส่งให้กับโครงการหลวงปังค่า ในราคา 25 บาท ซึ่งทางโครงการหลวงได้มีการดูแลโดยตลอด หลังจากที่หันมาปลูกพริกมะเขือเทศดังกล่าวทำให้สามารถมีรายได้ที่ดีขึ้น เฉลี่ยแล้วสามารถสร้างรายได้ต่อฤดูกาลผลิต ประมาณ 75,000 บาทต่อรอบการผลิต.
ที่มา : https://www.thairath.co.th/content/1139432
ข่าวไทยรัฐออนไลน์ 29 พฤศจิกายน 2560
มะขามเปรี้ยวยักษ์ ม.เกษตรฯแนะนำ 4 พันธุ์ “ อีก 5 ปี รวมร่างเป็นยักษ์เดียว ”
ปกติมะขามเปรี้ยวเก็บจากธรรมชาติไม่นิยมปลูกเหมือนมะขามหวาน เพิ่งมาปีหลัง ๆ ที่มีการโฆษณาว่ามีมะขามเปรี้ยวยักษ์ฝักใหญ่เจ้านั้นเจ้านี้ ทำให้ตลาดคึกคักและเกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับสถานีวิจัยปากช่อง ภาควิชาพืชสวน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มองว่ามะขามเปรี้ยวยักษ์จะมีโอกาสเป็นพืชเศรษฐกิจได้ เนื่องจากสามารถนำไปแปรรูปเพิ่มมูลค่าได้มากมาย
คุณเรืองศักดิ์ กมขุนทด และคณะนักวิจัยของมหาวิทยาลัยเกษตร เจ้าของผลงานวิจัยน้อยหน่ายักษ์เพชรปากช่องที่เคยสร้างความฮือฮามาแล้ว มาบัดนี้ ได้ทำงานวิจัยปรับปรุงพันธุ์มะขามเปรี้ยวยักษ์ โดยเริ่มต้นทำงานวิจัยชิ้นนี้มาตั้งแต่ 15 ปีที่แล้วเรื่อยมาถึงปัจจุบัน ได้ทำการรวบรวมพันธุ์มะขามเปรี้ยวยักษ์จากทั่วประเทศมาได้ 14 พันธุ์ เพื่อนำมาปลูกศึกษาการใช้ประโยชน์และเพื่อการปรับปรุงพันธุ์ โดยพบว่ามีพันธุ์ที่น่าสนใจจำนวน 4 พันธุ์ คือ พันธุ์ดกกิ่งหัก พันธุ์สะทิงพระ พันธุ์สระแก้ว และพันธุ์ปากช่อง 1 โดยที่แต่ละพันธุ์มีจุดเด่นจุดด้อยที่แตกต่างกัน เช่น พันธุ์สะทิงพระ ฟักรูปดาบยาว 19.56 ซม. กว้าง 3.77 ซม. ข้อด้อยคือฟักแบน ในขณะที่พันธุ์ปากช่อง 1 ฟักสั้นกว่า แต่เด่นที่ฟักหนากวา อ้วนกว่า เช่นเดียวกับอีก 2 พันธุ์ ที่แตกต่างกันออกไป รวมทั้งคุณสมบัติของการนำมาใช้ประโยชน์หรือแปรรูปเพิ่มมูลค่าก็มีความแตกต่างกันมากบ้างน้อยบ้าง แต่โดยรวมถือว่าเป็นพันธุ์ที่โดดเด่น
“โจทย์ของเราก็คือทำอย่างไรจึงจะนำจุดเด่นของมะขามยักษ์แต่ละพันธุ์มาเสริมกันและกัน เพื่อให้เด่นที่สุด มันเป็นงานที่ท้าทาย แต่เรามั่นใจว่าทำได้” คุณเรืองศักดิ์ กล่าว โดยบอกว่าสิ่งที่ต้องทำให้ได้คือ มะขามยักษ์ลูกผสมที่จะต้อง “ใหญ่ ยาว หนา (หนัก) ฟักตรง” และบอกอีกว่าขณะนี้งานวิจัยเพื่อการปรับปรุงพันธุ์ได้เริ่มต้นมา 15 ปีเต็มๆแล้ว ปกติงานปรับปรุงพันธุ์ไม้ผลจะรู้ว่าดีหรือไม่ดีต้องใช้เวลานานถึง 20 ปี “เราคาดว่าจะใช้เวลาอีก 5 ปี งานปรับปรุงพันธุ์มะขามยักษ์พันธุ์ใหม่ก็จะสำเร็จได้”
สำหรับมะขามเปรี้ยวยักษ์ จำนวน 4 พันธุ์ที่ได้นำมาแนะนำในคราวนี้ (แนะนำในงานเกษตรแห่งชาติ 2561) ถือว่าเป็นพันธุ์ที่โดดเด่นที่สุดในวงการมะขามมะขามยักษ์เวลานี้ “เป็นพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูง เหมาะที่จะทำเป็นการค้าในอนาคต” ซึ่งทางคุณเรืองศักดิ์ และคณะ ได้นำตัวอย่างฟักสุกมาแจกจ่ายให้กับผู้เยี่ยมชมคนละ 1 ฟัก เพื่อให้ไปชิมรสชาติความเปรี้ยว และหากถูกใจจะมาขอซื้อต้นพันธุ์ไปปลูกก็มีไว้บริการ ในราคาต้นละ 100 บาท เป็นต้นพันธุ์แบบต่อกิ่งหรือเสียบยอด นำไปปลูกประมาณ 3 ปีก็จะออกฟัก ซึ่งหากเพาะปลูกจากเมล็ดจะใช้เวลานานถึง 8 ปี
ได้สอบถามคุณเรืองศักดิ์ถึงการปลูกมะขามเปรี้ยวยักษ์ ได้รับคำตอบว่าปลูกง่าย “ดินที่ปลูกอย่างอื่นไม่ขึ้นปลูกมะขามได้” และยังได้พูดถึงโอกาสที่จะเป็นพืชเศรษฐกิจในอนาคต ซึ่งขณะนี้มีการโฆษณาขายกันมาก แต่ไม่รู้ประวัติและแหล่งที่มาของสายพันธุ์ชัดเจน (ผู้สนใจดูได้จากคลิปวิดีโอท้ายนี้)
ที่มา : http://news.thaipbs.or.th/content/271437
ข่าวไทยรัฐออนไลน์ 4 เมษายน 2561
มะนาว+มะละกอ+มะเขือยาว ใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
วางแผนปลูกพืช เป็นอีกวิธีการหนึ่งช่วยให้เกษตรกรมีรายได้ในช่วงรอเก็บเกี่ยวผลผลิตจากพืชหลัก วางแผนได้ดีมีเงินหมุนเวียนทุกวัน ถือเป็นการนำแนวทางเกษตรผสมผสานของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาประยุกต์ใช้ทำพื้นที่ทำกินให้เกิดประโยชน์สูงสุด
“ได้ออเดอร์จากเพื่อนให้ส่งออกมะนาวตาฮิติ เลยมาเช่าพื้นที่ 100 ไร่ แต่พอเห็นร่องสวนว่างๆ ประกอบกับนึกถึงแนวทางเกษตรผสมผสานของในหลวงรัชกาลที่ 9 ใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ปลูกพืชหลากชนิด จะได้มีเงินหมุนเวียนจากการเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ตลอด เลยนำมะละกอมาปลูกคั่นกลางระหว่างแถวปลูกมะนาว แต่พื้นที่ว่างระหว่างต้นมะนาวที่ห่างกัน 3.5 เมตร ยังว่างอยู่อีก เลยลองเอามะเขือยาวมาปลูกแซมระหว่างต้นมะนาว เพื่อหารายได้ระหว่างเก็บเกี่ยวมะนาวและมะละกอยังไม่ให้ผลผลิต”
ณรงค์ ร่างใหญ่ เกษตรกร อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ อดีตนักกฎหมายผู้ใช้วิชาที่ร่ำเรียนมาทำงานได้แค่ปีเดียว ก็ลาออกมายึดอาชีพเกษตรอย่างจริงจัง เล่าถึงที่มาของการปลูกพืชผสมผสานในที่เดียวกันตามแนวทางพระองค์ท่าน
ด้วยมะนาวตาฮิติ 4,500 ต้น กว่าจะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ต้องใช้เวลาปีครึ่ง เลยต้องปลูกมะละกอริมร่อง 10,000 ต้น 7 เดือนถึงจะเก็บเกี่ยวได้ ระหว่างนี้คนงานว่าง จึงมานำมะเขือยาว 1,500 ต้นมาปลูกแซมเข้าไปอีก ใช้เวลา 2 เดือนครึ่ง สามารถเก็บผลผลิตมาเลี้ยงคนงานได้ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 100,000 บาท
ณรงค์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมถึงวิธีการปลูกมะเขือยาว...จะใช้ต้นตอมะเขือพวงป่ามาเสียบยอดกับมะเขือยาว เพราะมะเขือพวงป่าหากินเก่ง ไม่ค่อยมีโรค แมลง รบกวน อยู่ได้นานกว่า 2 ปี เลยทำให้ได้ลูกยาว ใหญ่ ดก กว่ามะเขือยาวทั่วไปที่อยู่ได้แค่ปีเดียวก็เริ่มเฉา
ส่วนการดูแลรักษาไม่ยาก รดน้ำใส่ปุ๋ยเดือนละครั้ง พร้อมกับมะนาวและมะละกอเลย และพ่นธาตุอาหารเสริมสาหร่ายทะเล แคลเซียม โบรอนทางใบทุก 15 วัน
การเก็บเกี่ยวผลผลิตช่วง 2 เดือนครึ่ง เก็บผลผลิตได้น้อยแค่หลักร้อยกิโลกรัม แต่หลังจาก 4 เดือนไปแล้ว จะให้ผลผลิตถึงประมาณ 2,000 กก. ทุก 5-7 วัน มีแม่ค้ามารับถึงหน้าสวน ส่วนหนึ่งส่งขายตลาดสี่มุมเมืองไปพร้อมกับมะละกอ
มะเขือยาวแพ็กถุงละ 5 กก. ราคา 50-70 บาท...1 รอบ (5-7 วัน) เก็บได้ 300-400 ถุง เป็นเงินไม่ต่ำกว่า 20,000 บาท เดือนหนึ่งการันตีรายได้เสริมให้กับสวนนี้ไม่ต่ำกว่า 100,000 บาท ยังไม่นับมะละกอที่ทำรายได้......มะนาวอีก.......
นับเป็นอีกหนึ่งเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จจากการนำแนวทางของพ่อมาต่อยอด เพียงแค่คิดว่าทำทุกพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เท่านี้ก็อยู่ได้อย่างสบาย เลี้ยงตัวเอง เลี้ยงลูกน้องได้อย่างสบายๆ ไม่รวมผลผลิตมะละกอ มะนาว ที่กำลังตามมา สนใจข้อมูลติดต่อเจ้าของสวนโดยตรงได้ที่ โทร.08-7506-3989.
างแผนปลูกพืช เป็นอีกวิธีการหนึ่งช่วยให้เกษตรกรมีรายได้ในช่วงรอเก็บเกี่ยวผลผลิตจากพืชหลัก วางแผนได้ดีมีเงินหมุนเวียนทุกวัน ถือเป็นการนำแนวทางเกษตรผสมผสานของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาประยุกต์ใช้ทำพื้นที่ทำกินให้เกิดประโยชน์สูงสุด...
ที่มา : https://www.thairath.co.th/content/940453
ข่าวไทยรัฐออนไลน์ 15 พฤษภาคม 2560
ทำไม "มันสำปะหลัง" ถึงได้รับสมยานามว่า " พืชมหัศจรรย์ " ?
สำหรับประเทศในเขตร้อนอย่างประเทศไทย มันสำปะหลังถือเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญที่เราเพาะปลูกมาช้านาน และเป็นหนึ่งในสินค้าส่งออกหลักของไทย ทุกส่วนของมันสำปะหลังสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หมด เรียกว่าเป็นพืช Zero Waste อย่างแท้จริง ตั้งแต่ใบ ลำต้น จนถึงราก (หัวมัน) นำไปผลิตและแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์มากมายมหาศาล รวมทั้งใช้เป็นวัตถุดิบในหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งมันเส้น มันอัดเม็ด แป้งมัน อาหารคน อาหารสัตว์ เคมีภัณฑ์ ฟิล์มถนอมอาหาร บรรจุภัณฑ์ย่อยสลายได้ เครื่องดื่มผลิตภัณฑ์ขนมปราศจากกลูเต็น แป้งมันออร์แกนิค ไปจนถึงพลังงานทางเลือกรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างเอทานอล เป็นต้น กล่าวโดยสรุปได้ว่า ในแต่ละวันเราทุกคนจะพบกับมันสำปะหลังตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงเข้านอน สมกับคำกล่าวที่ว่า "มันอยู่รอบตัวเรา"
สำหรับเกษตรกรไร่มันสำปะหลังกว่า 500,000 ครัวเรือน การเพาะปลูกมันสำปะหลังคืองานและรายได้ที่ช่วยยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ ในปี 2560/61 สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ได้คาดการณ์ปริมาณผลผลิต ประมาณ 28.57 ล้านตัน ในขณะที่ผลผลิตเฉลี่ย ในปี 2560/61 อยู่ที่ 3.54 ตันต่อไร่ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 2.31 ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตลดลงมาอยู่ที่ 1.87 บาท/กก. ลดลงจากปีก่อนร้อยละ 2.09
ด้านการส่งออกในฐานะประเทศผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเบอร์หนึ่งของโลก ในปี 2560 ไทยส่งออก มันอัดเม็ด มันเส้น แป้งดิบ แป้งแปรรูป และผลิตภัณฑ์อื่นๆ สูงถึง 2,795.02 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือกว่า 94,000 ล้านบาท โดยผู้ซื้อผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังส่วนใหญ่นำไปใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น อาหาร อาหารสัตว์ พลังงานทดแทน เคมีภัณฑ์ เป็นต้น
จากที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่ามันสำปะหลังเป็นพืชมหัศจรรย์ที่อยู่รอบตัวเรา และเป็นแหล่งที่มาของรายได้สำคัญของเกษตรกรและผู้ประกอบการไทย ดังนั้น เพื่อตอกย้ำศักยภาพของอุตสาหกรรม มันสำปะหลังไทยในฐานะผู้ส่งออกมันสำปะหลังอันดับ 1 ของโลก กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าต่างประเทศ จึงได้กำหนดจัดงานประชุมมันสำปะหลังนานาชาติ (World Tapioca Conference 2018) ระหว่างวันที่ 27- 28 มิถุนายน 2561 ณ ห้องวิภาวดี บอลรูม โรงแรม เซ็นทารา แกรนด์ แอทเซ็นทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว กรุงเทพฯ เพื่อเป็นเวทีระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับทิศทางการผลิตและการค้า ซึ่งจะทำให้เกษตรกร ผู้ผลิต ผู้ค้า และผู้ส่งออกมันสำปะหลังได้ทราบถึงทิศทางการผลิต การค้า และเตรียมความพร้อมในการผลิตสินค้าป้อนความต้องการของตลาด รวมทั้งจะได้เรียนรู้พัฒนาการด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมการเพาะปลูกที่ทันสมัย ที่จะได้นำมาปรับใช้กับอุตสาหกรรมมันสำปะหลังไทย พร้อมจัดเจรจาจับคู่ธุรกิจ เพื่อเป็นการช่วยสร้างโอกาสและขยายมูลค่าส่งออก รวมถึงผลักดันศักยภาพให้ราคาหัวมันสดปรับตัวสูงขึ้น โดยนอกจากการประชุมสัมมนาทางวิชาการแล้ว ยังมีการจัดนิทรรศการอวดโฉมนวัตกรรมมันสำปะหลังล่าสุดภายใต้แนวคิด "มหัศจรรย์มันสำปะหลังเปลี่ยนโลก" (Tapioca: The Magic Plant for a Sustainable Future) อีกด้วย
ที่มา : http://www.nationtv.tv/main/content/378635617/
ข่าวเนชั่นทีวี 24 มิถุนายน 2561